นักกิจกรรมบำบัดต้องประเมินปัญหาและดำเนินการดังต่อไปนี้
1.นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) จัดการประเมินการรับรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล
2.จัดสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมให้เหมาะสมกับเด็กเป็นรายบุคคล เพื่อให้สมองจัดระเบียบข้อมูลที่รับผ่านความรู้สึก ปรับระดับ แยกแยะ ประมวลผลหรือบูรณาการข้อมูลอย่างถูกต้องสมบูรณ์
3.นักกิจกรรมบำบัด เป็นเพียงผู้ช่วยของเด็กซึ่งพยายามกระตุ้นให้เด็กทำกิจกรรมด้วยตนเองให้มากที่สุด ต้องสังเกตการณ์ทำกิจกรรมและการสนองตอบของเด็ก ปรับกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้สมองสร้างโปรแกรมการพัฒนาความสามารถของเด็กให้สูงขึ้น
4.ประเมินผลความก้าวหน้าของเด็กอย่างต่อเนื่อง
5.คุณแม่และคุณครู มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะเป็นนักกิจกรรมบำบัดร่วมที่บ้านและที่โรงเรียน เพราะเด็กจะต้องทำทุกวันอย่างน้อยสันละ 1 ชั่วโมง
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
- เด็กมีร่างกายและจิตใจที่พร้อมที่จะเรียนรู้
- เด็กสามารถพัฒนาตนเองและเติบโตได้สมวัย
- เด็กสามารถพัฒนาการเรียนรู้ การแสดงพฤติกรรมและอารมณ์ได้อย่าง เหมาะสม
- เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวและมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
- เด็กสามารถประกอบกิจกรรมประจำวันที่บ้านและที่โรงเรียนได้ดีขึ้น
เมื่อเด็กอยู่ในครอบครัวที่มีแต่ความรักและความอบอุ่น หากได้ทำเอสไอ เมื่อเติบโตขึ้น จะมีความสามารถสูงขึ้น
โดยความเป็นจริงแล้ว ในสมัยก่อน ไม่ว่าเด็กจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา พ่อแม่ปู่ย่าตายายจะกระตุ้นระบบรับความรู้สึกทุกด้าน ตั้งแต่วัยแบเบาะ เช่น การเห่กล่อมในอ้อมแขน การนอนในเปลที่แกว่งไกว พร้อมฟังเพลงเห่กล่อมและมองปลาตะเพียน เมื่อเติบโตในแต่ละวัย จะมีการเล่นที่ช่วยกระตุ้นระบบรับความรู้สึกอย่างต่อเนื่อง เช่น การเล่นตบแผะ การหัดร้องเพลงรำไทยง่ายๆ การเล่นใช้เชือกคล้องตามนิ้วและทำเป็นรูปเรขาคณิต การเล่นพรายกระซิบ เล่นซ่อนหา เล่นชิงช้ากับต้นไม้ เล่นปืนก้านกล้วย เล่นหมากเก็บ เล่นอีตัก เล่นอีมอญซ่อนผ้า เล่นวิ่งกะลา เล่นวิ่งผลัด วิ่งเปรี้ยว เล่นตั้งเต เล่นขี่ม้าโยกเยก เล่นขี่ม้าส่งเมือง เล่นเป่ากบ เล่นกระโดดเชือก เล่นชักคะเย่อ สารพัดจะเล่น รวมทั้งมีการอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ ซึ่งเป็นการนวดลำตัว การกระตุ้นระบบรับความรู้สึกของเด็กทุกรูปแบบ และ การฝึกให้เด็กมีนิ้วมือแขนขาที่แข็งแรง รวมทั้งมีประสาทสัมพันธ์ที่ดี ที่สำคัญมากคือ หัดให้เด็กรู้จักรอคอยและเรียนรู้กับกฎกติกามาตั้งแต่เล็ก ทุกการกระตุ้นไม่เสียเงินและแสนจะง่ายเล่นได้ทุกแห่ง เพียงแต่ไม่มีคำอธิบายถึงประโยชน์ให้เป็นที่เข้าใจ คนรุ่นเก่าจะเลี้ยงดูลูกหลานเช่นนี้
เราจะสังเกตได้ว่า คนรุ่นเก่าหรือคนที่ได้รับการเลี้ยงดูในวัยเด็กเช่นนี้ จะมีภูมิปัญญาติดอยู่ในตัวของตัวเอง ถึงแม้จะได้เรียนหนังสือน้อย แต่มิได้ด้อยกว่าใครในแง่สติปัญญาและความสามารถ ต่างกันที่ไม่มีโอกาสและไม่มีฐานะเท่านั้น
เราควรย้อนกลับมาฝึกหรือกระตุ้นระบบรับความรู้สึกทุกด้านของเด็ก ตามภูมิปัญญาของปู่ย่าตายายกันได้แล้ว นอกจากจะไม่เสียเงินยังให้ผลดีต่อเด็กชนิดที่ประเมินคุณค่ามิได้อีกด้ว
เมื่อคุณเข้าใจเรื่องของการบูรณาการการรับรู้แล้ว การพาเด็กไปทำกิจกรรมบำบัดหรือการทำเอสไอ จึงเป็นเรื่องที่ดี โรงพยาบาลหลายแห่งได้จัดให้มีการทำกิจกรรมบำบัดให้เด็กแล้ว ศูนย์ของเอกชนก็เริ่มมีแล้วหลายแห่ง
ถ้าหากคุณไม่สะดวกจะลองฝึกให้ลูกด้วยตนเองก็ได้ แต่เด็กจะต้องมีความสุขในขณะที่ฝึก ไม่ใช่ฝึกไปร้องไห้ไป คุณต้องมีลูกเล่นอยู่ตลอดระยะเวลาฝึก จึงจะได้ผลดีที่สุด กำหนดเวลาการฝึกควรแน่นอนและทำเป็นประจำทุกวันๆละประมาณ 1 ชั่วโมง อายุที่สมควรฝึกไม่จำกัด เร็วที่สุดเป็นดีที่สุด เด็กธรรมดาหรือเด็กพิเศษทุกประเภทต้องฝึกเป็นประจำ
ปัญหาการรับรู้ทางสายตา เด็กสมาธิสั้นควรฝึก ตัวอย่าง
- ปิดไฟ ใช้ไฟฉายส่องไปที่ฝา ให้เด็กใช้ไฟฉายอีกดวงฉายตามไปที่จุดทีคุณฉาย
- เปิดไฟหลายสี ทำไฟสีจ้า เป็นไฟนิ่ง ไฟสลัว ไฟกระพริบ ทำที่ละสีหรือทำสลับกันไปมา เปิดไฟสีอ่อน สลับไปมา ทำเป็นไฟจ้า ไฟนิ่ง ไฟสลัวและไฟกระพริบ
- ให้หาสิ่งของมีสีสันในหญ้า
- ใช้ลูกแก้วหลายสี หลายลูก กลิ้งในราง ให้เด็กหยิบลูกแก้วตามสีที่คุณบอก
- เป่าลูกโป่งหลายสีให้ลอยในอากาศ ให้เด็กมองตามลูกโป่งและให้เดาว่าลูกโป่งจะลอยไปทางใด
ปัญหาการได้ยิน เด็กสมาธิสั้นควรฝึก ตัวอย่าง
- ให้ฟังเสียงในทิศทางต่างๆกันและให้เด็กบอกว่าเสียงดังมาจากด้านใด
- เล่นเกมทายเสียง ทั้งทำให้ดังและดังแผ่วๆ หรือ ผสมเสียงให้แยกให้ออกว่าเป็นเสียงอะไร
- เปิดเพลงช้าแล้วให้เดิน เปิดเพลงกำลังดีแล้วให้เตะขาตามจังหวะและเปิดเพลงเร็ว เช่น จังหวะเร็กเก้ ให้เด็กเต้นตามจังหวะ พร้อมตบมือให้เป็นไปตามจังหวะ ลดเสียงและให้เต้นตามจังหวะ
ปัญหาการรับรู้ผ่านกล้ามเนื้อเอ็นข้อต่อ เด็กสมาธิสั้นควรฝึก ตัวอย่าง
- ให้หิ้ว ลาก ผลัก ดึง ของที่มีน้ำหนัก
- โหนราว ไต่ราวกลางแจ้ง
- กระโดดบนที่กระโดดสปริงก์หรือแทมโบลีน คลานบนพื้น ใช้มือตบบอลล์เข้ากำแพง
ปัญหาการเคลื่อนไหวและการทรงตัว เด็กสมาธิสั้นควรฝึก ตัวอย่าง
- การวิ่งแล้วหมุนตัวกลับไปมา
- นำเก้าอี้มาวาง 2 ตัว ให้ห่างกันประมาณ 1 เมตร ให้เด็กเดินเป็นเลขแปดและวิ่งเป็นเลขแปด
- กระโดดเชือก เดินเป็นวงกลม วงรี
ปัญหาการรับรสและการได้กลิ่น ตัวอย่าง
- เริ่มจากกลิ่นที่เด็กรับได้ ตามด้วยการแกะหรือปอกผลไม้กลิ่นต่างๆ เด็ดใบไม้และดม เด็ดดอกไม้แล้วดมหรือขนี้ใบไม้หรือดอกไม้
- ให้หลับตาดม ชิมและบอกชื่อขนมหรืออาหาร ควรเริ่มจากขนมหรืออาหารที่ชอบก่อน
- ให้มอง สัมผัส ดมและชิมอาหารหรือขนมหรือผลไม้ เริ่มจากสิ่งที่ชอบก่อน
- ปัญหาการสัมผัส เด็กสมาธิสั้นควรฝึก ตัวอย่าง
- ให้สัมผัสสำลีและวางสำลีบนแขนและถูเบาๆ เปลี่ยนเป็นผ้าสำลีและเปลี่ยนเป็นผ้าเนื้อธรรมดา เปลี่ยนเป็นผ้าหนาและใช้มือสัมผัสแขนและลูบแขนหรือจับแขน
- ให้เท้้าสัมผัสผ้าสำลี เดินบนผ้าสำลี เดินบนพรมเนื้อผ้า เดินบนพรมเนื้อหยาบ เดินบนทราย เดินบนหญ้า เดินบนดินและเดินบนแผ่นไม้และเดินบนกระเบื้องปูพื้น
- ใช้นิ้วถูผิวถั่วแดง จับถั่วแดง กำถั่วแดง เ อามือล้วงในภาชนะที่ใส่ของเล็กหลายอย่าง ใส่ถั่วแดง ให้เด็กใช้มือลงไปหาเม็ดถั่วแดง
- ให้เด็กแตะมือ ลูบมือ จับมือและใช้มือเล่นตบแผะกับผู้ฝึก ให้เด็กใช้มือแตะพื้นกระเบื้องหรือพื้นไม้หรือพื้นปูน ให้เดินเร็วหรือวิ่งบนพื้นไม้หรือพื้นปูน
นอกเหนือจากการทำกิจกรรมบำบัดหรือเอสไอแล้ว ปรากฏว่ามีผลงานวิจัยล่าสุดหลายชิ้น นั บตั้งแต่ปี พ.ศ 2533 เ ป็นต้นมา เชื่อว่า หากทำกิจกรรมบำบัดควบคู่กับการบำบัดที่เรียกว่า Interactive Metrodome Treatment แล้วอาการความบกพร่องของการทำงานของสมองและระบบประสาท จะดีขึ้นอย่างมาก แถมยังมีการซ่อมแซมและฟื้นฟูจุดทึ่บกพร่องในสมองและระบบประสาทได้อีกด้วย (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้า "การช่วยเหลือนอกจากยา" ในเว็ปไซท์นี้)
เด็กสมาธิสั้นที่ได้รับการฝึกตามข้างต้น จะช่วยทำให้เด็กสามารถอยู่นิ่งๆและลดอาการเคลื่อนไหวซุกซนได้ นอกจากนี้ควรฝึกเด็กทางด้านอื่นด้วยดังต่อไปนี้
- ฝึกการทำงานเป็นขั้นตอน
- ฝึกการคิดก่อนทำ ฝึกการวางแผนล่วงหน้า ฝึกการประมาณเวลา เมื่อลงมือทำ ให้พยายามให้เสร็จตรงเวลา
- ฝึกให้เห็นข้อดีของตนเอง
- ฝึกการใช้เหตุและผล โดยการหัดวิเคราะห์
- ฝึกการจับประเด็น โดยการเล่านิทานอิสปและให้เด็กคิดรวบยอดหรือจับประเด็นให้ได้ว่านิทานต้องการสอนเรื่องอะไร
พึ่งจำไว้ว่า หากคุณเป็นชาวพุทธ การที่อาการจะดีขึ้นมากหรือน้อย เร็วหรือช้า จะต้องเป็นไปตามกฏแห่งกรรมของแต่ละคนซึ่งถูกกำหนดมาแล้วแต่เราไม่รู้ เพื่อเพิ่มกรรมดี ทุกคนควรสร้างบุญบารมีให้ตนเอง ขอให้ย้อนกลับไปอ่าน "หน้าแรก" จะเข้าใจและนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูก ความสำเร็จของคุณและลูกจะอยู่แค่เอื้อม หากคุณไม่เชื่อ จงพิสูจน์ด้วยตนเอง